Environmental

มิติสิ่งแวดล้อม

บริษัทส่งเสริมการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการจัดการพลังงาน การจัดการสภาพภูมิอากาศ

และการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งเป้าลดการใช้พลังงาน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก Scope 1–3

พร้อมทั้งส่งเสริมการรีไซเคิลในองค์กร

เป้าหมายและผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)

ความสำคัญต่อองค์กร

          ภาคธุรกิจประกันภัยมีความเสี่ยงโดยตรงจากความถี่และความรุนแรงของภัยพิบัติที่เพิ่มขึ้น เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว  ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ส่งผลให้ต้นทุนความเสียหายเพิ่มขึ้นและกระทบต่อความสามารถในการรับประกันภัย บริษัทจึงให้ความสำคัญต่อการดำเนินงานเพื่อลดผลกระทบและการบริหารความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ ทั้งในมุมของการดำเนินงานภายในและการออกแบบผลิตภัณฑ์ประกันภัย

เป้าหมายการดำเนินงาน

  • บรรลุ Carbon Neutral 2030 และ Net Zero 2050

  • ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Scope 1–2) อย่างน้อย 5% ต่อปี (จากปีฐาน 2566)

  • เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาดในองค์กร

  • เสริมขีดความสามารถด้าน Climate Risk Assessment และการปรับปรุง Underwriting Guideline ให้สอดคล้องกับความเสี่ยงใหม่

การบริหารจัดการคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร
(Carbon Footprint of Organization: CFO)

     บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่เชื่อมโยงกับความเสี่ยงและโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ บริษัทจึงได้จัดทำการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (Carbon Footprint of Organization: CFO) อย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการกำหนดเป้าหมาย ลดผลกระทบ และยกระดับการดำเนินงานด้านสภาพภูมิอากาศให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลและนโยบายภาครัฐ

     ในปี 2567 บริษัทได้ดำเนินการประเมินและรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามข้อกำหนดขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) โดยใช้แนวทางการควบคุมการดำเนินงาน (Operational Control) ครอบคลุมกิจกรรมของสำนักงานใหญ่ทุกอาคารตลอดรอบระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม 2567 ทั้งนี้ การประเมินดังกล่าวได้รับการทวนสอบโดยหน่วยงานอิสระภายนอกในระดับการรับรองแบบจำกัด (Limited Assurance) และกำหนดระดับความมีสาระสำคัญ (Materiality Threshold) ที่ร้อยละ 5 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อความถูกต้องและความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่เปิดเผยต่อผู้มีส่วนได้เสีย

     ผลการประเมินพบว่า บริษัทมีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากขอบเขตการดำเนินงานประเภทที่ 1 (Scope 1) จำนวน 760 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ระบบปั๊มน้ำดับเพลิง การใช้ยานพาหนะขององค์กร รวมถึงการรั่วไหลของสารทำความเย็นและสารดับเพลิง ขณะที่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากขอบเขตประเภทที่ 2 (Scope 2) ซึ่งเกิดจากการใช้พลังงานไฟฟ้า มีปริมาณ 1,402 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ส่งผลให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยรวมขององค์กรในปีรายงาน (Scope 1 และ 2) อยู่ที่ 2,162 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

     โครงสร้างการปล่อยก๊าซเรือนกระจกดังกล่าวสะท้อนลักษณะของธุรกิจประกันภัย ซึ่งไม่มีการปล่อยจากกระบวนการผลิต แต่มีการพึ่งพาการใช้พลังงานไฟฟ้าในการดำเนินงานสำนักงานเป็นหลัก บริษัทจึงให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การบริหารจัดการอาคารอย่างมีประสิทธิภาพ และการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยลดการใช้ทรัพยากร เพื่อควบคุมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระยะยาว

     สำหรับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตประเภทที่ 3 (Scope 3) บริษัทอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมด้านระบบข้อมูลและกระบวนการบริหารจัดการ โดยในปี 2567 ยังไม่ได้รายงานการปล่อยในขอบเขตดังกล่าว ทั้งนี้ บริษัทตระหนักดีว่า Scope 3 โดยเฉพาะการปล่อยที่เกี่ยวข้องกับการรับประกันภัยและการลงทุน มีนัยสำคัญต่อธุรกิจในระยะยาว บริษัทจึงมีแผนพัฒนาแนวทางการประเมินและบริหารจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่คุณค่า เพื่อรองรับการเปิดเผยข้อมูลตามมาตรฐานสากล อาทิ IFRS S2 และข้อกำหนดด้านกฎหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่อาจมีผลบังคับใช้ในอนาคต

     การจัดทำ CFO ไม่เพียงเป็นการรายงานผลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการสนับสนุนการกำหนดกลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อม การวางเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการขับเคลื่อนองค์กรสู่การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน บริษัทมุ่งมั่นที่จะใช้ข้อมูล CFO เป็นฐานในการพัฒนาแผนงานด้าน Climate Change อย่างเป็นระบบ สร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางธุรกิจ ความรับผิดชอบต่อสังคม และการดูแลสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม

การทวนสอบโดยบุคคลที่สาม (Third-Party Verification)

  • ผู้ทวนสอบ: Bureau Veritas Certification (Thailand)

  • ผลการทวนสอบ:

    • ไม่พบ Material Misstatement (>5%)

    • NC 2 ประเด็น และ MS 1 ประเด็น → แก้ไขและปิดครบถ้วน

    • ยืนยันความถูกต้องของตัวเลข CFO ตามเกณฑ์ อบก.

การบริหารความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ความเสี่ยงทางกายภาพ และความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่าน (Physical and Transition Risks)

ความเสี่ยงทางกายภาพ Physical Risk คือ ความเสี่ยงทางกายภาพจากเหตุการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริง เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว ซึ่งอาจเพิ่มจำนวนการเคลมในพื้นที่เสี่ยงสูง บริษัทจึงปรับกลยุทธ์โดย

  • การปรับการพิจารณารับประกันภัยให้เหมาะสมกับความเสี่ยง เช่น index-based insurance (ประกันพืชผลการเกษตร) หรือการกำหนดพื้นที่เสี่ยงภัย เป็นต้น

  • การสร้างแบบจำลองความเสี่ยง (catastrophe model) ครอบคลุมข้อมูล climate change (stress test) และนำผลลัพธ์ที่ได้ใช้ประกอบการทำประกันภัยต่อ (Reinsurance)

  • การขยายบริการเชิงรุกให้กับลูกค้า (climate advisory) เพื่อลดความรุนแรงของเหตุการณ์ เช่น บริการลานจอดรถเพื่อรองรับกรณีน้ำท่วม และการแจ้งเตือนพื้นที่น้ำท่วม

ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่าน Transition Risk คือ ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงนโยบาย ภาษี และกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับคาร์บอน เช่น ภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูล ESG ซึ่งอาจทำให้ธุรกิจบางกลุ่มมีต้นทุน หรือค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นหรือมีสินทรัพย์เสี่ยงที่อาจสูญเสียมูลค่า จึงพยายามดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้นมากที่สุด เช่น มาตรการลดใช้พลังงานและทรัพยากร จนถึง การปลูกป่าเพื่อชดเชยคาร์บอน

การวิเคราะห์ฉากทัศน์ Scenario Analysis

  • นำสถานการณ์ตามระดับการเพิ่มขึ้นและความแปรปรวนของภัยพิบัติทางธรรมชาติ (รวมทั้งอุณหภูิโลกที่เพิ่มขึ้น เช่น 1.5°C และ 2°C) มาวิเคราะห์

  • วิเคราะห์จากข้อมูลสถิติที่เกิดภัยพิบัติและความเสียหายที่เกิดขึ้นในอดีต เช่น ปริมาณน้ำฝน และความเสียหายจากเหตุการณ์น้ำท่วมที่เคยเกิดขึ้น

  • การคาดการณ์ในอนาคตในการปรับแก้และบังคับใช้กฎหมายเรื่องก๊าซเรือนกระจกที่ภาครัฐได้ชี้แจงมาใช้เป็นเครื่องมือในการประเมินผลกระทบต่อพอร์ตการประกันภัยและการลงทุนในระยะยาวเพื่อประเมิน

      • ผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ

      • ผลกระทบต่ออัตราการเคลม และการตั้งสำรองประกันภัย

      • ผลกระทบต่อมูลค่าของสินทรัพย์ที่ลงทุน

** โดยใช้ข้อมูลจากแหล่งมาตรฐาน เช่น IPCC และ IEA ประกอบกับแบบจำลองทางเศรษฐกิจและภูมิอากาศ

แนวทางในการจัดการผลกระทบ

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีผลต่อทุกขั้นตอนในห่วงโซ่คุณค่าของบริษัทประกันภัย ตั้งแต่

  • การประเมินความเสี่ยงของลูกค้า (Underwriting)

  • การบริหารความเสี่ยงร่วมกับพันธมิตร (Reinsurer, Broker, คู่ค้า)

  • การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ลูกค้าในกลุ่มที่ใส่ใจความยั่งยืน

  • การกำหนดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่ใส่ใจเรื่อง ESG

บริษัทต้องร่วมมือกับพันธมิตรในห่วงโซ่อุปทานเพื่อปรับตัวในทิศทางเดียวกัน เช่น ส่งเสริมการใช้ข้อมูลภูมิอากาศร่วมกัน และประเมิน ESG ของคู่ค้า

โอกาสทางธุรกิจจาก  Climate Risks 

ความถี่และความรุนแรงของภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม และสภาพอากาศแปรปรวนที่ขึ้นจากภาวะโลกร้อน
ส่งผลโดยตรงต่อการประเมินเบี้ยประกันภัยและสินไหมทดแทน (claims) ของบริษัท
หากไม่มีการปรับตัวอาจส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไรและความมั่นคงทางการเงิน

โอกาสที่สำคัญ คือ ประชาชนมีความตระหนักถึงภัยธรรมชาติต่าง ๆ ดังนั้น บริษัทจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งแก่ประชาชนในการบริหารความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นต่อทรัพย์สิน

ในอีกด้านหนึ่ง การเติบโตของตลาดประกันภัยสีเขียว (Green Insurance) และความต้องการผลิตภัณฑ์ที่รองรับการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ เช่น

  • ประกันภัยพลังงานสะอาด

  • ประกันรถยนต์ไฟฟ้า

  • ประกันภัยทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงจาก climate change

  • ศึกษาแนวทางการประกันคาร์บอนเครดิต

จึงเป็นโอกาสให้บริษัทได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า
ซึ่งส่งผลต่อการเติบโตและความยั่งยืนทางธุรกิจของบริษัท

มาตรการเพื่อลดผลกระทบจาก Climate Change

solar cell
  • เพิ่มการติดตั้งโซล่าเซลล์

  • การเปลี่ยนมาใช้หลอด LED

  • การเปลี่ยนเครื่องทำความเย็น (chiller)

Transport
  • ติดตั้งจุดชาร์ตรถยนต์ไฟฟ้า EV

  • วางแผนปรับเปลี่ยนการใช้รถยนต์ส่วนกลางและรถยนต์ของผู้บริหารเป็นรถยนต์พลังงานทางเลือก

  • สนับสนุนการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าแก่พนักงานสำรวจภัย

Resource

วางแผนการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ อย่างคุ้มค่ามากขึ้น เช่น มาตรการประหยัดน้ำ ไฟฟ้า น้ำมัน กระดาษ
รวมทั้งการจัดการขยะและของเสีย

การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ (Resource Efficiency)

ความสำคัญต่อองค์กร

การบริหารจัดการพลังงาน น้ำ และของเสีย เป็นส่วนสำคัญของการลดต้นทุน ลดความเสี่ยงจากการบริโภคทรัพยากรเกินจำเป็น และสนับสนุนการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ของบริษัท การส่งเสริมพฤติกรรมพนักงานจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญในการขับเคลื่อนมาตรการในการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

การจัดการพลังงาน (Energy Management)

ในปี 2568 บริษัทดำเนินมาตรการด้านการจัดการพลังงานอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งลดการใช้ไฟฟ้าภายในสำนักงานและสร้างพฤติกรรมการใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่าในหมู่พนักงาน บริษัทได้ดำเนินการสื่อสารผ่านแคมเปญรณรงค์ภายใน เช่น “ปิดสวิตช์”, “ปิดไฟช่วงพักกลางวัน และเมื่อไม่ใช้งาน”, และ “ถอดปลั๊กก่อนกลับบ้าน” เพื่อปลูกฝังวินัยด้านการประหยัดพลังงานในชีวิตประจำวันของพนักงานทุกระดับ

นอกจากนี้ ยังมีการจัด แคมเปญประหยัดไฟในช่วงเทศกาล เช่น สงกรานต์และปีใหม่ ซึ่งเป็นช่วงที่พนักงานส่วนใหญ่ลางาน ทำให้เกิดช่องว่างในการควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้า บริษัทจึงจัดทีมตรวจสอบก่อนปิดอาคารและประชาสัมพันธ์ให้ทุกหน่วยงานปิดอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็น เพื่อป้องกันการใช้พลังงานโดยเปล่าประโยชน์

บริษัทได้กำหนด มาตรฐานการตั้งอุณหภูมิแอร์ที่เหมาะสมระหว่าง 25–27°C ตามหลักเกณฑ์ของภาครัฐ พร้อมติดป้ายเตือนประจำจุด เพื่อให้เกิดความสอดคล้องและลดภาระการทำงานของระบบทำความเย็น นอกจากนี้ยังส่งเสริมการใช้ แสงธรรมชาติร่วมกับไฟประดิษฐ์ โดยปรับแต่งพื้นที่ทำงานให้รับแสงจากภายนอกมากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาไฟฟ้าในช่วงกลางวัน

มาตรการเหล่านี้ช่วยให้บริษัทสามารถลดการใช้พลังงานไฟฟ้าและลดต้นทุนการดำเนินงาน โดยยังคงรักษาคุณภาพสภาพแวดล้อมในสำนักงานให้เหมาะสมต่อการทำงาน

การจัดการน้ำ (Water Management)

บริษัทให้ความสำคัญกับการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดความสูญเสียและสนับสนุนการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน จึงได้ดำเนินการ สำรวจและซ่อมแซมจุดรั่วไหลในระบบประปาอย่างสม่ำเสมอ โดยจัดทำแผนตรวจตราอาคารประจำเดือน และประสานงานกับทีมซ่อมบำรุงเพื่อแก้ไขปัญหาให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด

ในด้านการสร้างความรู้แก่บุคลากร บริษัทได้จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์เพื่อ ให้ความรู้พนักงานเกี่ยวกับการใช้น้ำอย่างคุ้มค่า เช่น การปิดก๊อกทุกครั้งหลังใช้งาน การหลีกเลี่ยงการเปิดน้ำทิ้งโดยไม่จำเป็น พร้อมทั้งติดตั้งป้ายเตือนในพื้นที่ใช้น้ำ เพื่อกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมการใช้น้ำอย่างรับผิดชอบในชีวิตประจำวัน

บริษัทยังดำเนิน แคมเปญรณรงค์ลดการใช้น้ำในห้องน้ำ โดยสื่อสารให้พนักงานใช้ชักโครกอย่างเหมาะสม เช่น “กดชักโครก 1 ครั้งต่อการใช้งาน 1 ครั้ง” เพื่อลดปริมาณการใช้น้ำอย่างไม่จำเป็น ซึ่งเป็นมาตรการที่ช่วยลดปริมาณน้ำใช้ในอาคารสำนักงานอย่างมีประสิทธิผล

เคารพและการปฏิบัติตามกฎหมาย

นอกเหนือจากการใช้น้ำอย่างคุ้มค่าแล้ว บริษัทให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการจัดการน้ำทิ้งและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยดำเนินการควบคุมคุณภาพน้ำทิ้งตามหลักวิศวกรรมและข้อกำหนดทางกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อให้มั่นใจว่าน้ำที่ปล่อยออกจากอาคารสำนักงานจะไม่ส่งผลกระทบต่อชุมชนหรือระบบนิเวศโดยรอบ

บริษัทได้บริหารจัดการน้ำทิ้งผ่าน ระบบบำบัดน้ำเสียที่ได้รับการดูแลและบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการตรวจสอบประสิทธิภาพของระบบเป็นประจำ รวมถึงการล้างทำความสะอาดถังบำบัด การควบคุมอัตราการไหลของน้ำเข้า-ออก และการจัดการสารเคมีที่ใช้ในกระบวนการบำบัด เพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างมีเสถียรภาพและลดความเสี่ยงต่อการปนเปื้อน โดยเฉพาะในช่วงที่มีการใช้น้ำปริมาณมากจากกิจกรรมภายในอาคาร

สำหรับการกำกับคุณภาพน้ำ บริษัทดำเนินการ ตรวจวัดคุณภาพน้ำทิ้งอย่างสม่ำเสมอ โดยส่งตัวอย่างน้ำไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากล ตรวจค่าต่าง ๆ ได้แก่ pH, BOD, COD, SS และค่ามาตรฐานอื่น ๆ ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผลการตรวจสอบทั้งหมดถูกจัดทำรายงานและนำเสนอให้ฝ่ายสิ่งแวดล้อมรวมถึงคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบบำบัดน้ำเสียอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เกิดการปล่อยน้ำเสียที่ไม่ผ่านมาตรฐาน

ด้านการปฏิบัติตามกฎหมาย บริษัทให้ความสำคัญต่อข้อกำหนดทุกประการของกฎหมายที่เกี่ยวกับน้ำเสียและคุณภาพสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็น พระราชบัญญัติการสาธารณสุข, พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ, รวมถึงข้อบัญญัติท้องถิ่นด้านควบคุมน้ำเสีย บริษัทจัดเก็บเอกสาร ผลตรวจ และหลักฐานประกอบทั้งหมดอย่างเป็นระบบ เพื่อรองรับการตรวจสอบจากหน่วยงานภาครัฐ พร้อมจัดทำระบบบันทึกข้อมูลที่สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้อย่างโปร่งใส

การจัดการขยะและของเสีย Waste Management

บริษัทให้ความสำคัญต่อการลดปริมาณขยะและของเสียจากการดำเนินงานเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว โดยมีการดำเนินงานครอบคลุมทั้งการลดการใช้ การใช้ซ้ำ และการรีไซเคิลอย่างเป็นระบบ

เป้าหมายการดำเนินงาน

  • เพิ่มสัดส่วนปริมาณขยะรีไซเคิล

  • ลดปริมาณการใช้กระดาษ
 
การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการขยะและของเสียอย่างยั่งยืน

บริษัทเริ่มต้นจากการจัดเก็บข้อมูลปริมาณขยะและของเสียที่เกิดขึ้นภายในสำนักงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์แนวโน้ม กำหนดมาตรการลดขยะ และเพิ่มสัดส่วนขยะรีไซเคิลให้สูงขึ้น

บริษัทได้จัดตั้งจุดคัดแยกขยะรีไซเคิลในสำนักงานใหญ่และสาขาครอบคลุมประเภทขยะสำคัญ เช่น

  • ขยะทั่วไป

  • ขยะรีไซเคิล

  • ขยะอินทีย์ หรือขยะเศษอาหาร

  • ขยะอิเล็กทรอนิค

การจัดการขยะอย่างเป็นระบบนี้ช่วยเพิ่มอัตราการนำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ ลดปริมาณขยะที่ต้องนำไปกำจัด และสนับสนุนเป้าหมายองค์กรในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

ดำเนินการคัดแยก และส่งข้อมูลขยะให้กับโครงการ “เมืองไทย ไร้ขยะ” เพื่อสร้างฐานข้อมูลกลางด้านการจัดการขยะขององค์กร และออกมาตรการส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า

นอกจากนี้ บริษัทยังริเริ่มกิจกรรมสร้างคุณค่าเพิ่มจากของใช้แล้ว เช่น กิจกรรมบริจาคฉลากกินแบ่งที่ไม่ถูกรางวัล เพื่อทำดอกไม้จันทร์ โครงการบริจาคขยะอิเล็กทรอนิค เพื่อนำไปแปลรูปและกำจัดอย่างถูกวิธี ซึ่งเป็นการส่งเสริมแนวคิดการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด

และเพิ่มจุดตั้งถังขยะแบบแยกประเภทในสำนักงานและสาขาใหญ่จำนวน 4 จุด ได้แก่

    1. หน้าศูนย์บริการลูกค้า สำนักงานใหญ่

    2. กลุ่มพัฒนาธุรกิจ

    3. ชั้น 2–4 อาคารสำนักงานใหญ่

    4. บริเวร ชั้น 1 อาคาร 4

การลดการใช้กระดาษ และการใช้ซ้ำ (Paper Reduction & Reuse)

เพื่อสนับสนุนการลดปริมาณขยะและลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ บริษัทได้ดำเนินโครงการ REUSE กระดาษ A4 หน้า 2 ซึ่งเปิดให้พนักงานนำกระดาษที่ยังสามารถใช้งานได้มาใช้ซ้ำในงานเอกสารภายในองค์กร ช่วยลดปริมาณการสั่งซื้อกระดาษใหม่ และลดขยะกระดาษที่ต้องจัดการลงอย่างมีนัยสำคัญ

มาตรการลดการใช้กระดาษเช็ดมือในห้องน้ำ
จัดทำสื่อรณรงค์ “#ลดการตัดต้นไม้” เพื่อให้พนักงานตระหนักถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม พร้อมทดลองใช้เครื่องเป่ามือในบางพื้นที่เพื่อลดการใช้วัสดุสิ้นเปลือง

มาตรการส่งเสริมการใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ (Paperless Operations)

บริษัทขับเคลื่อนนโยบาย Paperless อย่างจริงจัง โดยขยายการใช้งานระบบงานอิเล็กทรอนิกส์ เช่น

  • E-Policy (กรมธรรม์อิเล็กทรอนิกส์)

  • E-Document (งานเอกสารภายใน)

  • E-Receipt (ใบเสร็จอิเล็กทรอนิกส์)

การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลนี้ช่วยลดความต้องการใช้กระดาษในกระบวนการทำงานลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ความสะดวก และความรวดเร็วในการให้บริการลูกค้า ลดการปล่อยคาร์บอนจากการขนส่งเอกสาร

ผลิตภัณฑ์ประกันภัยด้านสิ่งแวดล้อม และการลงทุนอย่างรับผิดชอบ
(Green Insurance & Responsible Investment)

ความสำคัญต่อองค์กร

        บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ให้ความสำคัญกับการพัฒนาและยกระดับ ผลิตภัณฑ์และบริการประกันภัยที่สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยตระหนักถึงบทบาทของธุรกิจประกันภัยในการบริหารความเสี่ยง ลดความเปราะบางของภาคเศรษฐกิจและสังคมจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสนับสนุนการปรับตัวของลูกค้าในระยะยาว บริษัทมุ่งเน้นการออกแบบความคุ้มครองที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ พลังงานหมุนเวียน รถยนต์ไฟฟ้า การป้องกันและฟื้นฟูความเสียหายหลังเกิดภัยพิบัติ รวมถึงการบริหารความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศอย่างรอบด้าน เพื่อให้การประกันภัยเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวของประเทศ

        ควบคู่กันนี้ บริษัทดำเนินการบริหารเงินลงทุนภายใต้หลัก การลงทุนอย่างรับผิดชอบ (Responsible Investment) โดยผนวกประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เข้ากับกระบวนการตัดสินใจลงทุนอย่างเป็นระบบ เพื่อหลีกเลี่ยงหรือจำกัดความเสี่ยงจากการลงทุนในธุรกิจหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญ และในขณะเดียวกัน สนับสนุนการลงทุนในกิจการที่มีแนวปฏิบัติด้าน ESG ที่เหมาะสม มีการบริหารจัดการความเสี่ยงที่ดี และสามารถสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนในระยะยาว

        ในด้าน ขอบเขตการดำเนินงาน บริษัทครอบคลุมการบริหารจัดการทั้งในฝั่งธุรกิจประกันภัยและฝั่งการลงทุนอย่างครบวงจร สำหรับฝั่งประกันภัย บริษัทให้ความสำคัญกับการออกแบบผลิตภัณฑ์ประกันภัย เงื่อนไขความคุ้มครอง โครงสร้างราคา และกระบวนการรับประกันภัย (Underwriting) ให้สอดคล้องกับลักษณะความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ โดยมุ่งสนับสนุนกิจกรรมสีเขียว ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้าปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปสู่แนวทางที่ยั่งยืนมากขึ้น

        สำหรับฝั่งการลงทุน บริษัทดำเนินการตามหลัก Responsible Investment ตั้งแต่กระบวนการคัดกรองก่อนการลงทุน การติดตามและประเมินผลหลังการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการสื่อสารและมีส่วนร่วมกับผู้ออกหลักทรัพย์หรือผู้จัดการกองทุน (Engagement) ในประเด็นด้าน ESG ที่มีนัยสำคัญ เพื่อยกระดับคุณภาพของพอร์ตการลงทุน ลดความเสี่ยงระยะยาว และสนับสนุนการเติบโตของระบบเศรษฐกิจและตลาดทุนอย่างยั่งยืน

เป้าหมาย
  • เพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ประกันภัยสนับที่สนุนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น ประกันภัยรถยนต์ EV ประกันภัย solar cell

  • ส่งเสริมการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีเกณฑ์ ESG และลดสัดส่วนการลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม

การดำเนินงาน 

        บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ดำเนินการขับเคลื่อนประเด็น ผลิตภัณฑ์ประกันภัยด้านสิ่งแวดล้อมและการลงทุนอย่างรับผิดชอบ (Green Insurance & Responsible Investment) อย่างเป็นระบบตลอดทั้งปี โดยมุ่งเน้นให้การดำเนินงานสามารถสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไป และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์กรในระยะยาว

        ในขั้นตอนแรก บริษัทให้ความสำคัญกับการ สำรวจและวิเคราะห์ความต้องการของตลาดและลูกค้า โดยอาศัยข้อมูลแนวโน้มความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความถี่และความรุนแรงของภัยพิบัติ รวมถึงโอกาสจากการเติบโตของเศรษฐกิจสีเขียว ข้อมูลดังกล่าวถูกนำมาประกอบการพิจารณาเชิงกลยุทธ์ เพื่อทำความเข้าใจลักษณะความเสี่ยงที่ลูกค้าเผชิญจริงในแต่ละกลุ่มธุรกิจและแต่ละพื้นที่ ตลอดจนระบุช่องว่างของการคุ้มครอง (Protection Gap) ซึ่งเป็นฐานสำคัญในการออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการประกันภัยที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างเหมาะสมและทันต่อสถานการณ์

        จากนั้น บริษัทดำเนินการ พัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ประกันภัยและความคุ้มครอง ให้มีความสอดคล้องทั้งในมิติของการบริหารความเสี่ยง ความคุ้มครองที่เพียงพอ และความสามารถในการรับประกันภัยของบริษัท โดยบูรณาการมุมมองด้านสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศเข้าไว้ในกระบวนการออกแบบผลิตภัณฑ์อย่างเป็นระบบ พร้อมกำหนดเงื่อนไขการรับประกันภัยที่เหมาะสมกับลักษณะความเสี่ยง เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการคุ้มครองลูกค้า ความมั่นคงทางการเงินของบริษัท และการสนับสนุนกิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

        ในด้านการขยายผลสู่ตลาด บริษัทให้ความสำคัญกับการ สื่อสารและสร้างการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ประกันภัยด้านสิ่งแวดล้อม ผ่านช่องทางการขายและเครือข่ายพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงแต่การนำเสนอผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการให้ความรู้และสร้างความเข้าใจแก่ลูกค้าเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยง การป้องกันความเสียหาย และการปรับตัวต่อความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ เพื่อเสริมสร้างการตัดสินใจอย่างรอบคอบและเพิ่มคุณค่าของการประกันภัยในฐานะเครื่องมือบริหารความเสี่ยงระยะยาว

        ควบคู่กันนี้ บริษัทดำเนินการ ลงทุนอย่างรับผิดชอบ (Responsible Investment) โดยผนวกหลักการ ESG เข้ากับกระบวนการคัดเลือกและบริหารเงินลงทุน มีการกำหนดเกณฑ์การพิจารณาและการคัดกรองการลงทุนอย่างเหมาะสม พร้อมทั้งทบทวนและติดตามความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลในพอร์ตการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ผลการติดตามดังกล่าวถูกรายงานต่อฝ่ายกำกับดูแลและผู้บริหาร เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจและปรับทิศทางการลงทุนให้สอดคล้องกับนโยบายความยั่งยืนของบริษัท

        สุดท้าย บริษัทให้ความสำคัญกับการ ติดตาม ประเมินผล และปรับปรุงการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ผ่านการกำหนดและวัดผลตามตัวชี้วัด (KPIs) การทบทวนประสิทธิผลของผลิตภัณฑ์และแนวทางการลงทุน รวมถึงการประเมินความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น ความถี่ของภัยพิบัติที่เพิ่มขึ้น ความเสี่ยงกายภาพ และความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ข้อมูลจากการติดตามผลถูกนำมาใช้ในการปรับปรุงกลยุทธ์และแนวทางการดำเนินงานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้บริษัทสามารถตอบสนองต่อความท้าทายด้านความยั่งยืนได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างคุณค่าในระยะยาวแก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม

นโยบายและมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม

แนวปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมของบริษัทฯ
1. การกำหนดนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมในกระบวนการปฏิบัติงาน
1) มีการกำหนดเรื่องการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
2) มีการกำหนดให้มีการทำกิจกรรมด้านการอนุรักษ์ และฟื้นฟู ทรัพยากรธรรมชาติ
3) มีการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อเป้าหมายในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานโดยให้ความสำคัญกับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
4) มีการกำหนดเรื่องการปฏิบัติตามกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม

2. การส่งเสริมเพื่อสร้างความรู้ ความตระหนักและการปฏิบัติเรื่องสิ่งแวดล้อมทั่วทั้งองค์กร
1) มีการมอบหมายให้หน่วยงาน บุคคล คณะทำงานรับผิดชอบงานด้านสิ่งแวดล้อม
2) มีการสื่อสารนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของบริษัทฯ แก่บุคลากร คู่ค้าและลูกค้าของบริษัทฯ สม่ำเสมอ
3) จัดให้มีโครงการ แผนงาน กิจกรรม ที่ส่งเสริมให้พนักงานตระหนักและมีส่วนร่วมในการปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง

3. การติดตามการปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อม
1) มีการกำหนดเป้าหมายเชิงปริมาณและการวัดผลในการลดการใช้ทรัพยากร เช่น พลังงาน (ไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศ) น้ำ กระดาษ และวัสดุสิ้นเปลือง
2) มีการกำหนดเป้าหมายเชิงปริมาณและการวัดผลในการใช้ทรัพยากรหมุนเวียนด้วยการลดการใช้ การใช้ซ้ำ และการนำกลับมาใช้ใหม่ (Reduce, Reuse และ Recycle)
3) มีการรายงานผลการดำเนินงานของโครงการ และกิจกรรมต่าง ๆ ที่พนักงานได้มีส่วนร่วมในการปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมอย่างสม่ำเสมอ

4. การมีส่วนช่วยสนับสนุนด้านสิ่งแวดล้อมในฐานะบริษัทประกันภัย
1) มีการออกผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ส่งเสริมและสนับสนุนในด้านสิ่งแวดล้อม
2) มีการพิจารณาคัดเลือกคู่ค้าทางธุรกิจในการจัดหาสินค้าและบริการของบริษัท ที่ให้ความสำคัญต่อปัจจัยการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

water drop with house in it, in the style of light green and dark azure, detailed world-building, vibrant worlds, minolta riva mini, ethical concerns, industrial materials, associated press photo --ar 3:2 --style raw --stylize 500 --v 6 Job ID: b3ad3e52-dfcd-4b97-ad93-bd10ded8ad77