นางนวลพรรณ ล่ำซำ

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร

สารประธานเจ้าหน้าที่บริหาร

        ปี 2567 เป็นปีที่ตอกย้ำให้เราเห็นว่าโลกไม่เคยหยุดนิ่ง ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและซับซ้อนขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา เศรษฐกิจ ยังคงเผชิญกับความผันผวน ความขัดแย้งระหว่างประเทศสร้างแรงกระเพื่อมต่อระบบการค้าและการเงิน ภัยธรรมชาติเกิดถี่ขึ้นและ รุนแรงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ขณะเดียวกัน เทคโนโลยีและนวัตกรรมกำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญ พลิกโฉมธุรกิจ และวิถีชีวิตของผู้คน ทำให้แนวทางการบริหารความเสี่ยงต้องเปลี่ยนจากการตั้งรับเป็นการปรับตัวอย่างรวดเร็ว มีความยืดหยุ่น และพร้อม เผชิญหน้ากับทุกสถานการณ์ ตลอดเวลากว่า 90 ปีที่เมืองไทยประกันภัยเติบโตเคียงข้างสังคมไทย เราไม่เคยมองว่าตัวเองเป็นเพียงบริษัทประกันภัย แต่เป็นพันธมิตร ที่พร้อมปกป้อง ดูแล และก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับทุกคน เราได้เห็นโลกเปลี่ยนแปลง เราได้ปรับตัว และเราเข้าใจดีว่าการดำเนินธุรกิจ ในวันนี้ต้องคิดให้ไกลกว่าปัจจุบัน ต้องสร้างรากฐานที่มั่นคงเพื่อรองรับอนาคต และ “ความยั่งยืน” ไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นหัวใจ ของการพัฒนา

        ดังนั้น การดำเนินธุรกิจภายใต้หลัก ESG (Environment, Social, Governance) ของเราในวันนี้จึงไม่ใช่เพียงแนวทาง แต่เป็นหลัก การที่เรายึดมั่นและผลักดันให้เกิดขึ้นจริงในทุกมิติขององค์กร เพราะเราเชื่อว่านี่คือแนวทางเดียวที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตไปพร้อมกับ ความก้าวหน้าในสังคมอย่างแท้จริง เรามุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดรับกับวิถีชีวิตยุคดิจิทัล และพร้อมรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้คน เราใช้เทคโนโลยีเข้ามายกระดับ การให้บริการ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารความเสี่ยง และขับเคลื่อนกิจกรรมเพื่อสังคม เพื่อสร้างอนาคตที่เท่าเทียมและยั่งยืน เพราะเรา ตระหนักดีว่า ความมั่นคงของธุรกิจประกันภัยไม่ได้วัดจากผลกำไรเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีฐานมาจากความแข็งแกร่งและความมั่นคง ของสังคมที่เราดำเนินธุรกิจอยู่

        ก้าวสู่ปี 2568 และอนาคตข้างหน้า เราจะยังคงเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้าและพันธมิตรทุกท่าน ด้วยการสานต่อพันธกิจของ องค์กร ไม่เพียงเพื่อให้ความคุ้มครองแก่ผู้เอาประกันภัย แต่เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนให้สังคมก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง เราจะพัฒนา ศักยภาพของบุคลากร ไม่ใช่แค่เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางธุรกิจ แต่เพื่อปลูกฝังจิตวิญญาณแห่งการช่วยเหลือและความรับผิดชอบ ต่อสังคม เสริมสร้างการมีส่วนร่วม และส่งเสริมคุณค่าร่วมให้กับทุกภาคส่วน เพื่อให้มั่นใจว่าทุกคนได้รับการคุ้มครองที่ดีที่สุด และสามารถ ดำเนินชีวิตและธุรกิจได้อย่างมั่นใจ เมืองไทยประกันภัย มุ่งสร้างอนาคตที่มั่นคงและยั่งยืน เคียงข้างทุกชีวิตและธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และ พร้อมปรับตัวในทุกความเปลี่ยนแปลง เพื่อให้ทุกคนก้าวต่อไปได้อย่างมั่นใจ และยังคง “ยิ้มได้ เมื่อภัยมา”

ภาพรวมการประกอบธุรกิจ

“เมืองไทยประกันภัย” เป็นบริษัทประกันวินาศภัยของคนไทย ดำเนินกิจการมาพร้อมกับความมุ่งมั่นพัฒนา
ก้าวนำไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้งและยั่งยืน เป็นหลักประกันที่มั่นคงของคนไทยมากว่า 93 ปี

        เมืองไทยประกันภัย เป็นบริษัทประกันวินาศภัยชั้นนำของประเทศไทย ที่ดำเนินธุรกิจ ตั้งแต่ปี 2475 ด้วยธรรมาภิบาลที่ดี และมีความเป็นมืออาชีพด้านการประกันวินาศภัย ที่มุ่งสร้างมูลค่าเพิ่มในผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า การให้บริการที่เป็นเลิศ ซึ่งส่งผลให้บริษัทได้รับรางวัลเกียรติยศมากมาย โดยในปี 2568 บริษัทได้รับรางวัลเกียรติยศอันดับที่ 1 “บริษัทประกันวินาศภัยที่มีการบริหารงานดีเด่น ประจำปี 2567” จาก นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (Prime Minister’s Insurance Awards 2025) จัดขึ้นโดย สำนักงานคณะกรรมการกำากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ณ โรงแรม เซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ รางวัลอันทรงเกียรตินี้เป็นการยอมรับถึงความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจอย่างโดดเด่นของบริษัท ซึ่งไม่เพียงเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเป็นผู้นำในด้านการบริหารจัดการองค์กรของเมืองไทย ประกันภัยเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความสามารถในการปรับตัว และเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอุตสาหกรรมประกันภัย ที่เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลา

        ปัจจุบัน เมืองไทยประกันภัย ภายใต้การนำของ นางนวลพรรณ ล่ำาซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ยังคงเดินหน้าทุ่มเททำงานภายใต้หลักธรรมาภิบาล ยึดถือความซื่อสัตย์สุจริตเป็นสำคัญ และตั้งมั่นในการเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือเยียวยาผู้คนในยามเกิดภัย ดำเนินธุรกิจไปพร้อมกับการสร้างกำไรทางใจให้แก่สังคมไทย เพื่อตอกย้ำความเชื่อมั่นในฐานะองค์กรที่ประสบความสำเร็จในการสร้างรอยยิ้มให้กับคนไทย ดังสโลแกน “ยิ้มได้ เมื่อภัยมา” ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่มุ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้า ตามวิถีชีวิตและในทุกช่วงของชีวิต พร้อมกับนโยบายการให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจที่คำนึงถึงความรับผิดชอบ 3 ด้านหลัก คือ สิ่งแวดล้อม สังคม บรรษัทภิบาล นอกจากนี้บริษัทยังช่วยเหลือสังคมไทยหลากหลายด้านอย่างต่อเนื่อง โดยมี โครงการอาสากล้าใหม่เมืองไทยประกันภัย เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2556 เปรียบดั่งการเพาะเมล็ดพันธุ์ต้นกล้าแห่งความดีขยายออกไปสู่สังคม โดยกำหนดให้พนักงานเข้าใหม่ทุกคน ได้มีโอกาสรวมกลุ่มและออกไปทำกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ที่สนใจในพื้นที่ต่างๆ ครอบคลุมในหลากหลายประเด็น ทั้งเรื่องเด็ก สิ่งแวดล้อม ผู้สูงอายุ และคนพิการ เป็นต้น

       เมืองไทยประกันภัย มุ่งสร้างอนาคตที่มั่นคงและยั่งยืน เคียงข้างทุกชีวิตและธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
และพร้อมปรับตัวในทุกความเปลี่ยนแปลง เพื่อให้ทุกคนก้าวต่อไปได้อย่างมั่นใจ และยังคง “ยิ้มได้ เมื่อภัยมา”

บริษัท เมืองไทยประกันภัย จํากัด (มหาชน) มีวิสัยทัศน์ในการดําเนินธุรกิจว่า

“ผู้นําทางธุรกิจ ใส่ใจพันธมิตร คิดสรรสร้าง เน้นคุณภาพและบริการ ภายใต้หลักธรรมาภิบาล”

บริษัทฯ ต้องการเป็นผู้นําในธุรกิจประกันวินาศภัยที่ให้ความสําคัญกับผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มตลอดจน
พยายามคิดสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลที่ดี เพื่อที่จะสามารถให้การดูแลลูกค้า
คู่ค้า และพนักงาน ด้วยหลักจริยธรรมทางธุรกิจ จึงบริหารจัดการด้านความยั่งยืนขององค์กรให้เชื่อมโยงในทุกมิติ
ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล หรือ ESG ของเมืองไทยประกันภัย

การดำเนินงานด้านความยั่งยืน

มิติสิ่งแวดล้อม

Environmental

บริษัทส่งเสริมการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการจัดการพลังงาน การจัดการสภาพภูมิอากาศ และการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งเป้าลดการใช้พลังงาน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก Scope 1–3 พร้อมทั้งส่งเสริมการรีไซเคิลในองค์กร

มิติสังคม

Social

บริษัทให้ความสำคัญกับการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน การดูแลและพัฒนาทรัพยากรบุคคล ความปลอดภัยอาชีวะอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน การบริการลูกค้า และการมีส่วนร่วมกับชุมชน โดยเน้นความเท่าเทียม การมีส่วนร่วม และการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกมิติ

มิติธรรมาภิบาล

Governance

บริษัทดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ มีธรรมาภิบาลที่ดี เคารพกฎหมาย และส่งเสริมการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและนวัตกรรม การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์