ภาพรวมการดำเนินงานด้านความยั่งยืน
นโยบายการบริหารจัดการด้านความยั่งยืนระดับองค์กร
บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม ธรรมาภิบาลและเศรษฐกิจ พร้อมสร้างคุณค่าร่วมกันกับผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มอย่างสมดุล โดยเชื่อมั่นว่าความยั่งยืนคือรากฐานของความน่าเชื่อถือ การเติบโตทางธุรกิจ และความไว้วางใจจากสังคม
บริษัท ตระหนักถึงความเชื่อมโยงระหว่างการเติบโตของธุรกิจประกันภัยกับความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจ คุณภาพชีวิตของประชาชน และความสมดุลของสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งตื่นตัวต่อความท้าทายใหม่ อาทิ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภัยพิบัติที่รุนแรงขึ้น การเปลี่ยนแปลงเชิงประชากร พฤติกรรมผู้บริโภค เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การกำกับดูแลที่เข้มงวด และการแข่งขันจากผู้เล่นรายใหม่ในอุตสาหกรรม
เพื่อให้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทได้กำหนดกรอบการดำเนินงานด้านความยั่งยืนที่ชัดเจน โดยบูรณาการแนวทางความยั่งยืนเข้ากับกลยุทธ์ธุรกิจ การบริหารความเสี่ยง การพัฒนาบุคลากร การกำกับดูแลกิจการที่ดี และการสร้างคุณค่าแก่สังคมและสิ่งแวดล้อม
นโยบายนี้จึงเป็นแนวทางสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร โดยส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้บริหารและพนักงานทุกระดับให้ยึดมั่นในความสมดุลของผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสีย และไม่ละเมิดสิทธิของผู้มีส่วนได้เสียกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง บริษัทยังให้ความสำคัญกับความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆในสังคม เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนควบคู่กับการรักษาความสามารถในการแข่งขันและความมั่นคงทางธุรกิจในระยะยาว
ห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain)
ห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจ
การดำเนินธุรกิจของ บริษัทเมืองไทยประกันภัย มีกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้เสียทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังนั้นเพื่อให้เกิดการสร้างโอกาสและบรรเทาผลกระทบจากกิจกรรมในการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งเพื่อให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างยั่งยืน บริษัทเมืองไทยประกันภัยจึงได้ทำการวิเคราะห์ห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจ เพื่ออธิบายลักษณะและกิจกรรมของธุรกิจดังนี้
การวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้เสียในห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจ
บริษัท ให้ความสำคัญต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ซึ่งมีส่วนสำคัญในการดำเนินธุรกิจของบริษัท โดยได้มีการวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้เสียในห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ตลอดจนการประเมินความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียทั้งภายในและภายนอกองค์กร เพื่อทราบถึงความคาดหวังและเลือกประเด็นสำคัญในแต่ละด้าน เพื่อป้องกันความเสี่ยง ลดผลกระทบ และแสวงหาโอกาสทางธุรกิจ ตลอดจนการให้ความคุ้มครองและรักษาสิทธิของผู้มีส่วนได้เสีย และบริษัท จะไม่กระทำการใด ๆ ที่เป็นการละเมิดสิทธิของผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม จึงยึดถือแนวทางในการปฏิบัติที่ก่อให้เกิดความเสมอภาคต่อทุกฝ่าย ซึ่งได้แก่ 1) พนักงาน 2) คู่ค้า 3) ลูกค้า 4) คู่แข่งทางการค้า 5) ผู้ถือหุ้น 6) เจ้าหนี้ 7) ชุมชน/สังคม 8) หน่วยงานของรัฐ และ/หรือ หน่วยงานกำกับ
รวมทั้งมีการวิเคราะห์จัดลำดับความสำคัญของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียขององค์กร เพื่อลำดับความสำคัญและเร่งด่วน ในการตอบสนองต่อประเด็นความสนใจและความคาดหวังของบริษัท ซึ่งได้ผลสรุป 4 ลำดับแรกดังนี้ 1) พนักงาน 2) ลูกค้า 3) คู่ค้า 4) หน่วยงานของรัฐ และ/หรือ หน่วยงานกำกับ และ ได้กำหนดช่องทางการรับฟังความต้องการ ความคิดเห็น ความคาดหวัง ข้อเสนอแนะของผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มของบริษัท มาสรุปประเด็น ที่ผู้มีส่วนได้เสียให้ความสำคัญมากำหนดแนวทางปฏิบัติต่อผู้มีส่วนได้เสียได้อย่างเหมาะสม โดยได้นำเสนอผ่านคณะกรรมการบรรษัทภิบาลและการพัฒนาอย่างยั่งยืน และได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริษัทก่อนจะเปิดเผยต่อสาธารณะ ในรายงานความยั่งยืน และ รายงาน 56-1 one Report โดยมีรายละเอียด ดังนี้
แนวทางการมีส่วนร่วมและตอบสนองต่อผู้มีส่วนได้เสีย








การประเมินและกำหนดประเด็นความยั่งยืน
บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการประเมินประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืนตามกรอบ GRI Standards 2021 เพื่อระบุและจัดลำดับความสำคัญของประเด็นที่มีผลกระทบสูงสุดต่อธุรกิจและผู้มีส่วนได้เสีย โดยคำนึงถึงประเด็นของผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม โดยใช้หลักการวิเคราะห์บริบททางธุรกิจ ตลาดทุนของผู้มีส่วนได้เสีย และความสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) รวมถึงหลักธรรมาภิบาล การบริหารความเสี่ยง จริยธรรม กฎหมาย และจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมและเศรษฐกิจ โดยมีการดำเนินการตามกระบวนการประเมินประเด็นสาระสำคัญ ดังนี้
บริษัทได้ดำเนินการศึกษา รวบรวม และทบทวนข้อมูลจากทั้งภายในและภายนอกที่สอดคล้องกับบริบทการดำเนินธุรกิจของบริษัท พร้อมทั้งบริบทของสังคม (Sustainability Context) อาทิ วิสัยทัศน์ พันธกิจ นโยบาย ตามหลักบรรษัทภิบาลภาพรวมอุตสาหกรรมทั้งระดับประเทศและสากล รวมทั้งข้อมูลที่สะท้อนถึงความคาดหวัง หรือข้อกังวลของการจากกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียของบริษัท อันนำไปสู่การระบุหัวข้อความยั่งยืน
ประจำปี 2567 ที่เกี่ยวเนื่องกับบริบทของบริษัท
บริษัทได้ประเมินสาระสำคัญด้านธุรกิจที่มีผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มผ่านกระบวนการจัดลำดับความสำคัญ (Prioritization) โดยมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณา ประกอบด้วย ระดับความรุนแรงของผลกระทบ (Severity) ระดับความเป็นไปได้ (Likelihood) ของเขตของผลกระทบ (Scope) รวมถึงเจตนาของการดำเนินงานและความมุ่งมั่นต่อการดำเนินงานขององค์กรในประเด็นนั้น ๆ (Intention) และดำเนินการวิเคราะห์ถึงแนวโน้มการเพิ่มหรือการลดลงนั้น ผลกระทบเชิงบวกเชิงลบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อองค์กร ตลอดจนพิจารณาผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อม สังคม สิทธิมนุษยชน และปัญหาตามหลักการตรวจสอบกิจการอย่างรอบด้าน (Due Diligence) อันนำมาซึ่งประเด็นความยั่งยืนที่สำคัญ (Material Topics)
บริษัทได้เสนอประเด็นความยั่งยืนต่อคณะผู้บริหารระดับสูงเพื่อพิจารณาและทวนสอบความชอบด้วยประเด็น เพื่อให้ประเด็นความยั่งยืนที่ระบุมีความสอดคล้องกับบริบทด้านนโยบาย กลยุทธ์การดำเนินกิจการและแนวทางการคาดการณ์ต่อปัญหา ความเสี่ยงหรือโอกาสขององค์กรได้อย่างเหมาะสม ครอบคลุม และสอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจของบริษัท (Material Topics) ประจำปี 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 9 ประเด็น และได้ผ่านคณะกรรมการบริษัทเพื่อสร้างความให้ความเห็นชอบ
บริษัทมีการทบทวนข้อมูลการเปิดเผยข้อมูลในแต่ละปีอย่างต่อเนื่อง และพิจารณาผลกระทบที่เกิดขึ้นใหม่ขององค์กร ตลอดจนรวบรวมและประมวลความคิดเห็น และข้อเสนอแนะจากผู้มีส่วนได้เสียในปีปัจจุบันรวมถึงการทบทวนกฎหมายหรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มั่นใจว่าการกำหนดประเด็นสาระสำคัญของบริษัทมีความสอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
การวิเคราะห์ประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืนแบบ Double Materiality
ประเด็นสาระสำคัญด้านความยั่งยืน (Material Topics)
มิติสิ่งแวดล้อม
1.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
(Climate Change)
2.การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
(Resource Efficiency)
3.ผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม
และการลงทุนอย่างรับผิดชอบ
(Green Insurance and Responsible Investment)
มิติสังคม
1.การบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคล
(Human Resource Management and Development)
2.การบริหารความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า
(Customer Relationship Management)
3.การส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความหลากหลาย
(Human Rights & Diversity)
4.ความรับผิดชอบต่อชุมชนและสังคม
(Community and Social Responsibility)
5.การเข้าถึงผลิตประกันภัยของคนทุกกลุ่ม
(Inclusive insurance)
มิติธรรมาภิบาล
1.การพัฒนาดิจิทัลและนวัตกรรม
(Digital Transformation and Innovation)
2.การรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและไซเบอร์
(Data Protection & Cybersecurity)
3.การกำกับดูแลกิจการและการต่อต้านทุจริตคอรัปชัน
(Corporate Governance and Anti-Corruption)
4.การจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน
(Sustainable Supply Chain Management)
5.การบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ
(Risk Management)
การวิเคราะห์ประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืน Double Materiality Matrix
ผลการวิเคราะห์ประเด็นความยั่งยืน Double Materiality Matrix
บริษัทฯ ได้ดำเนินการประเมินผลกระทบทั้งที่เกิดขึ้นจริง หรืออาจจะเกิดขึ้น ผลกระทบเชิงบวก และเชิงลบ ที่ครอบคลุมทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม มิติสังคม มิติมิติธรรมาภิบาล ทั้งต่อบริษัทฯ และ ผู้มีส่วนได้เสียตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน และความเชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน SDGs Goals โดยมีรายละเอียดดังนี้
มิติสิ่งแวดล้อม
เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน SDGs Goals
ผลกระทบ / โอกาสต่อองค์กร (Inside-out & Financial Materiality)
เพิ่มความเสี่ยงค่าสินไหมและความผันผวนทางการเงิน หากบริหารได้ดีจะสร้างโอกาสจาก Green Insurance และ Climate Risk Solutions
ผลกระทบ / โอกาสต่อผู้มีส่วนได้เสีย (Outside-in & Impact Materiality)
ลูกค้า ชุมชน และสังคมได้รับความคุ้มครองความเสี่ยงและเสริมความสามารถในการปรับตัวต่อภัยพิบัติ
ผลกระทบ / โอกาสต่อองค์กร (Inside-out & Financial Materiality)
ลดต้นทุนการดำเนินงาน สนับสนุนเป้าหมาย Carbon Neutrality และเพิ่มประสิทธิภาพองค์กร
ผลกระทบ / โอกาสต่อผู้มีส่วนได้เสีย (Outside-in & Impact Materiality)
ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ส่งเสริมพฤติกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของพนักงานและลูกค้า
ผลกระทบ / โอกาสต่อองค์กร (Inside-out & Financial Materiality)
สร้างรายได้ใหม่ ลดความเสี่ยง ESG ในพอร์ตการลงทุน และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน
ผลกระทบ / โอกาสต่อผู้มีส่วนได้เสีย (Outside-in & Impact Materiality)
ลูกค้าและนักลงทุนมีส่วนร่วมในเศรษฐกิจสีเขียวและการเปลี่ยนผ่านสู่ Low-carbon Economy


MTI มีบทบาทเชิงระบบในการสนับสนุน SDG 13 ผ่านการบริหารความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ช่วยลดผลกระทบจากภัยพิบัติ และการสนับสนุนการปรับตัวของภาคธุรกิจและประชาชนต่อ Climate Risk ขณะเดียวกัน การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงาน และการใช้พลังงานสะอาด สนับสนุน SDG 7 และการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

การลดการใช้พลังงาน น้ำ และทรัพยากรในกระบวนการทำงานของ MTI รวมถึงการใช้ระบบดิจิทัลแทนเอกสาร ช่วยลดการใช้ทรัพยากรและของเสีย ซึ่งสนับสนุน SDG 12 โดยตรง และมีส่วนช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สนับสนุน SDG 13 ในเชิงป้องกัน (Prevention-based approach)

MTI สนับสนุน SDG 9 และ SDG 13 ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยสำหรับพลังงานสะอาด (ประกันภัย EV และ Solar cell) และโครงการด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงการจัดสรรเงินลงทุนอย่างรับผิดชอบ เพื่อลดการสนับสนุนกิจกรรมที่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมการบริโภคและการลงทุนอย่างยั่งยืนตาม SDG 12
มิติสังคม
ผลกระทบ / โอกาสต่อองค์กร (Inside-out & Financial Materiality)
เพิ่มประสิทธิภาพองค์กรและขีดความสามารถในการแข่งขัน หากบริหารไม่ดีอาจเกิดปัญหาขาดแคลนบุคลากร
ผลกระทบ / โอกาสต่อผู้มีส่วนได้เสีย (Outside-in & Impact Materiality)
พนักงานมีโอกาสเติบโต ความมั่นคง และคุณภาพชีวิตที่ดี
ผลกระทบ / โอกาสต่อองค์กร (Inside-out & Financial Materiality)
เพิ่มความเชื่อมั่น ความภักดี และภาพลักษณ์องค์กร ลดความเสี่ยงด้านข้อร้องเรียน
ผลกระทบ / โอกาสต่อผู้มีส่วนได้เสีย (Outside-in & Impact Materiality)
ลูกค้าได้รับบริการที่เป็นธรรม โปร่งใส และมีคุณภาพ
ผลกระทบ / โอกาสต่อองค์กร (Inside-out & Financial Materiality)
ลดความเสี่ยงด้านกฎหมายและชื่อเสียง เสริมวัฒนธรรมองค์กรที่เป็นธรรม
ผลกระทบ / โอกาสต่อผู้มีส่วนได้เสีย (Outside-in & Impact Materiality)
พนักงาน ลูกค้า และคู่ค้าได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม
ผลกระทบ / โอกาสต่อองค์กร (Inside-out & Financial Materiality)
ขยายฐานลูกค้าใหม่และสร้างคุณค่าทางสังคมควบคู่ธุรกิจ
ผลกระทบ / โอกาสต่อผู้มีส่วนได้เสีย (Outside-in & Impact Materiality)
กลุ่มเปราะบางและผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงการบริหารความเสี่ยง
ผลกระทบ / โอกาสต่อองค์กร (Inside-out & Financial Materiality)
เสริมความเชื่อมั่นและ Social License to Operate เชื่อม CSR กับ Core Business
ผลกระทบ / โอกาสต่อผู้มีส่วนได้เสีย (Outside-in & Impact Materiality)
ชุมชนและสังคมได้รับการพัฒนาและมีความเข้มแข็ง

การพัฒนาทักษะ การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย และโอกาสความก้าวหน้าอย่างเป็นธรรม สนับสนุนการจ้างงานที่มีคุณค่า (Decent Work) ตาม SDG 8 และการเรียนรู้ตลอดชีวิตตาม SDG 4

การให้ข้อมูลที่โปร่งใส การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และการจัดการข้อร้องเรียนอย่างเป็นธรรม สนับสนุนสถาบันที่เข้มแข็งและความยุติธรรมตาม SDG 16 รวมถึงการบริโภคอย่างรับผิดชอบตาม SDG 12

MTI สนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศและการไม่เลือกปฏิบัติในสถานที่ทำงานและการให้บริการ ต่อต้านความรุนแรง ตาม SDG 5 ช่วยลดความเหลื่อมล้ำและสร้างสังคมที่ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียม ตาม SDG 10

การออกแบบผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่เข้าถึงได้ มีเบี้ยประกันที่เหมาะสม และเงื่อนไขที่เข้าใจง่ายสำหรับกลุ่มรายได้น้อย ผู้ประกอบการรายย่อย และกลุ่มเปราะบาง ช่วยลดความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและเพิ่มการเข้าถึงการคุ้มครองอย่างเท่าเทียม สนับสนุนการขจัดความยากจนตาม SDG 1 และการลดความเหลื่อมล้ำในสังคมตาม SDG 10 รวมทั้งร่วมมือกับภาครัฐ หน่วยงานกำกับ และภาคเอกชนในการส่งเสริมให้กลุ่มเปราะบางและผู้มีรายได้น้อยมีโอกาสเข้าถึงการประกันภัยอย่างเหมาะสม SDG 17

การดำเนินโครงการพัฒนาชุมชน การเสริมสร้างความรู้ด้านการบริหารความเสี่ยง และการสนับสนุนการฟื้นฟูหลังเกิดภัยพิบัติ ช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งและความยืดหยุ่นของชุมชน ลดความเปราะบางทางเศรษฐกิจของครัวเรือน สนับสนุนการพัฒนาเมืองและชุมชนอย่างยั่งยืนตาม SDG 11 และช่วยป้องกันการตกสู่ความยากจนจากความเสี่ยงที่ไม่คาดคิดตาม SDG 1
มิติธรรมาภิบาล (Governance)
ผลกระทบ / โอกาสต่อองค์กร (Inside-out & Financial Materiality)
เพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และยกระดับประสบการณ์ลูกค้า
ผลกระทบ / โอกาสต่อผู้มีส่วนได้เสีย (Outside-in & Impact Materiality)
ลูกค้าและพนักงานได้รับบริการและเครื่องมือที่ทันสมัย
ผลกระทบ / โอกาสต่อองค์กร (Inside-out & Financial Materiality)
ลดความเสี่ยงด้านกฎหมาย ความเสียหายทางการเงิน และชื่อเสียงองค์กร
ผลกระทบ / โอกาสต่อผู้มีส่วนได้เสีย (Outside-in & Impact Materiality)
ลูกค้าและคู่ค้ามั่นใจในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
ผลกระทบ / โอกาสต่อองค์กร (Inside-out & Financial Materiality)
เสริมความเชื่อมั่นนักลงทุน ลดความเสี่ยงด้านกฎหมายและจริยธรรม
ผลกระทบ / โอกาสต่อผู้มีส่วนได้เสีย (Outside-in & Impact Materiality)
ผู้มีส่วนได้เสียได้รับความเป็นธรรมและความโปร่งใส
ผลกระทบ / โอกาสต่อองค์กร (Inside-out & Financial Materiality)
ลดความเสี่ยง ESG จากคู่ค้าและห่วงโซ่อุปทาน
ผลกระทบ / โอกาสต่อผู้มีส่วนได้เสีย (Outside-in & Impact Materiality)
คู่ค้าได้รับการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานการดำเนินงาน
ผลกระทบ / โอกาสต่อองค์กร (Inside-out & Financial Materiality)
เพิ่มความมั่นคงและความยั่งยืนของธุรกิจ รองรับความเสี่ยงใหม่ (Climate / ESG / Cyber)
ผลกระทบ / โอกาสต่อผู้มีส่วนได้เสีย (Outside-in & Impact Materiality)
นักลงทุน ลูกค้า และสังคมมั่นใจในเสถียรภาพองค์กร

การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการพัฒนากระบวนการทำงาน ระบบบริการ และช่องทางการให้บริการลูกค้า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนการดำเนินงาน และยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านการเงินและการบริการให้มีความทันสมัยและเข้าถึงได้มากขึ้น สนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรม และอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนตาม SDG 9

การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล การบริหารจัดการความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ และการป้องกันการละเมิดข้อมูล ช่วยสร้างความเชื่อมั่นของลูกค้า คู่ค้า และผู้มีส่วนได้เสียต่อระบบบริการทางการเงินและการประกันภัย ส่งเสริมสถาบันที่มีความน่าเชื่อถือ โปร่งใส และมีธรรมาภิบาล สนับสนุนสถาบันที่เข้มแข็งและความยุติธรรมตาม SDG 16

การกำหนดโครงสร้างการกำกับดูแลกิจการที่โปร่งใส การปฏิบัติตามหลักจริยธรรมทางธุรกิจ และมาตรการป้องกันและต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุน ผู้ถือหุ้น และตลาดทุน รวมถึงลดความเสี่ยงด้านกฎหมายและชื่อเสียงขององค์กร สนับสนุนการพัฒนาองค์กรที่มีธรรมาภิบาล ความโปร่งใส และความรับผิดชอบตาม SDG 16

การคัดเลือก ประเมิน และติดตามคู่ค้าด้วยเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ช่วยยกระดับมาตรฐานแรงงาน ความปลอดภัย และการจัดการสิ่งแวดล้อมตลอดห่วงโซ่อุปทาน สนับสนุนรูปแบบการผลิตและการบริโภคที่รับผิดชอบตาม SDG 12 และส่งเสริมการจ้างงานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนตาม SDG 8

การพัฒนาระบบบริหารความเสี่ยงที่ครอบคลุมความเสี่ยงด้าน ESG ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ ช่วยเสริมสร้างเสถียรภาพทางการเงิน ความต่อเนื่องทางธุรกิจ และความเชื่อมั่นของนักลงทุน ลูกค้า และผู้มีส่วนได้เสีย สนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมั่นคงตาม SDG 8 และเสริมสร้างสถาบันที่เข้มแข็งและมีธรรมาภิบาลตาม SDG 16
กลยุทธ์การดำเนินงานด้านความยั่งยืน
บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เชื่อมั่นว่าการพัฒนาอย่างยั่งยืน และการเติบโตอย่างมีความรับผิดชอบ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มในห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจ คือแนวทางสำคัญในการสร้างคุณค่าในระยะยาวให้แก่องค์กร
ดังนั้น บริษัทจึงได้กำหนดกรอบกลยุทธ์การขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อความยั่งยืนบนพื้นฐานการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Good Corporate Governance) และการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักความยั่งยืน ครอบคลุมประเด็นสาระสำคัญในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาลและเศรษฐกิจ Environmental Social Governance and economic (ESG) เชื่อมโยงกับแผนการดำเนินงานของฝ่ายงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs) โดยในปัจจุบันการดำเนินงานของบริษัทมีความสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนจำนวน 12 เป้าหมาย ดังนี้
แนวทางการดำเนินงานด้านความยั่งยืน
บริษัทได้ตั้งเป้าหมายการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านความยั่งยืนภายใต้แนวคิด “Empathy for every well-being” คือ เราจะมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ช่วยส่งเสริมชีวิต และสังคมให้ดีขึ้นในทุกๆวัน จึงได้กำหนดกรอบกลยุทธ์การขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อความยั่งยืนบนพื้นฐานการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Good Corporate Governance) และการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักความยั่งยืน ครอบคลุมประเด็นสาระสำคัญในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาลและเศรษฐกิจ Environmental Social Governance and economic (ESG) เชื่อมโยงกับแผนการดำเนินงานของฝ่ายงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยแบ่งออกเป็น 3 มิติ