Environmental
มิติสิ่งแวดล้อม
บริษัทส่งเสริมการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการจัดการพลังงาน การจัดการสภาพภูมิอากาศ
และการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งเป้าลดการใช้พลังงาน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก Scope 1–3
พร้อมทั้งส่งเสริมการรีไซเคิลในองค์กร
บริษัท ตระหนักดีว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันและอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความเสี่ยงทางกายภาพ (Physical Risk) เช่น ภัยธรรมชาติที่รุนแรงและบ่อยครั้งขึ้น อุณหภูมิที่สูงขึ้น และระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อทรัพย์สิน โครงสร้างพื้นฐาน และผลการดำเนินงานของบริษัทฯ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังตระหนักถึงความเสี่ยงในการเปลี่ยนผ่าน (Transition Risk) ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงนโยบาย กฎเกณฑ์ และมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนการดำเนินงานและความสามารถในการแข่งขันของบริษัท
เพื่อรับมือกับความท้าทายดังกล่าว บริษัท ได้กำหนดเป้าหมายในการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ ประกอบด้วยเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2030 เร็วกว่าเป้าหมายของประเทศและเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี ค.ศ. 2065 สอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศ
นโยบายและแนวปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อม
บริษัท ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน โดยมีการจัดทำนโยบายอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและพลังงาน และมีการแต่งตั้งคณะผู้ตรวจประเมินการจัดการพลังงานภายในองค์กร รวมทั้งได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานด้านสิ่งแวดล้อม ตามนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และ ธรรมาภิบาล เพื่อร่วมขับเคลื่อนงานด้านสิ่งแวดล้อมขององค์กร การรณรงค์ช่วยประหยัดพลังงานไฟฟ้า น้ำประปา กระดาษ รวมถึงการลด-คัดแยกขยะ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และปลูกจิตสำนึกในการรักษาสิ่งแวดล้อมแก่พนักงานในองค์กร
นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม
สังคมและธรรมาภิบาล

มาตรการและแนวทางปฏิบัติ
ในการประหยัดพลังงาน
และลดการใช้ทรัพยากร
เป้าหมายและผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม
เป้าหมาย
ลดค่าใช้จ่ายจากการใช้ไฟฟ้าลงภายในปี 2568
ด้วยการลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าลง ร้อยละ 5
เมื่อเทียบกับปีฐาน 2566
ผลการดำเนินงาน 2566
ปริมาณการใช้ไฟ 2,772,593 กิโลวัตต์
ผลการดำเนินงาน 2567
ปริมาณการใช้ไฟ 2,771,903 กิโลวัตต์
ลดลงร้อยละ 0.43 จากปีฐาน 2566
ผลการดำเนินงาน 2568
รอผลการดำเนินงาน
เป้าหมาย
ลดค่าใช้จ่ายจากการใช้น้ำลงภายในปี 2568
ด้วยการลดปริมาณการใช้น้ำลงร้อยละ 5
เมื่อเทียบกับปีฐาน 2566
ผลการดำเนินงาน 2566
ปริมาณการใช้น้ำ 11,831 ลูกบาศก์เมตร
ผลการดำเนินงาน 2567
ปริมาณการใช้น้ำ 10,301 ลูกบาศก์เมตร
ลดลงร้อยละ 12 จากปี 2566
ผลการดำเนินงาน 2568
รอผลการดำเนินงาน
เป้าหมาย
การจัดการขยะภายในองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยการแยกขยะรีไซเคิล ให้ได้ไม่น้อยกว่า 500 กิโลกรัม ภายในปี 2568
ผลการดำเนินงาน 2566
คัดแยกขยะรีไซเคิลได้ จำนวน 35.71 กิโลกรัม
ผลการดำเนินงาน 2567
คัดแยกขยะรีไซเคิลได้ จำนวน 4,146 กิโลกรัม
ผลการดำเนินงาน 2568
รอผลการดำเนินงาน
เป้าหมาย
ลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 5 ภายในปี 2568 เมื่อเทียบกับปีฐาน 2566
ผลการดำเนินงาน 2566
ขอบเขตที่ 1: 544.37 tCO2e
ขอบเขตที่ 2: 1,379.54 tCO2e
ขอบเขตที่ 3: 224.98 tCO2e
ผลการดำเนินงาน 2567
ขอบเขตที่ 1: 759 tCO2e
ขอบเขตที่ 2: 1,402 tCO2e
ขอบเขตที่ 3: 222.31 tCO2e
ผลการดำเนินงาน 2568
รอผลการดำเนินงาน
🎯 เป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Targets)
บริษัทมุ่งลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินงาน ผ่านการจัดการพลังงาน การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การลดก๊าซเรือนกระจก และการบริหารจัดการของเสียอย่างเป็นระบบ โดยกำหนดเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศที่ ชัดเจนและท้าทาย ได้แก่
1.Carbon Neutral ภายในปี 2573 (2030)
2.NET ZERO ภายในปี 2593 (2050)
ทั้งนี้ บริษัทบูรณาการหลักคิดด้านสิ่งแวดล้อมเข้าในทุกกระบวนการทำงาน พร้อมส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพนักงาน และการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านสิ่งแวดล้อม
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)
ความสำคัญต่อองค์กร
ภาคธุรกิจประกันภัยมีความเสี่ยงโดยตรงจากความถี่และความรุนแรงของภัยพิบัติที่เพิ่มขึ้น เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ส่งผลให้ต้นทุนความเสียหายเพิ่มขึ้นและกระทบต่อความสามารถในการรับประกันภัย บริษัทจึงให้ความสำคัญต่อการดำเนินงานเพื่อลดผลกระทบและการบริหารความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ ทั้งในมุมของการดำเนินงานภายในและการออกแบบผลิตภัณฑ์ประกันภัย
เป้าหมายการดำเนินงาน
บรรลุ Carbon Neutral 2030 และ Net Zero 2050
ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Scope 1–2) อย่างน้อย 5% ต่อปี (จากปีฐาน 2566)
เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาดในองค์กร
เสริมขีดความสามารถด้าน Climate Risk Assessment และการปรับปรุง Underwriting Guideline ให้สอดคล้องกับความเสี่ยงใหม่
การบริหารจัดการคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร
(Carbon Footprint of Organization: CFO)
บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่เชื่อมโยงกับความเสี่ยงและโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ บริษัทจึงได้จัดทำการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (Carbon Footprint of Organization: CFO) อย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการกำหนดเป้าหมาย ลดผลกระทบ และยกระดับการดำเนินงานด้านสภาพภูมิอากาศให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลและนโยบายภาครัฐ
ในปี 2567 บริษัทได้ดำเนินการประเมินและรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามข้อกำหนดขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) โดยใช้แนวทางการควบคุมการดำเนินงาน (Operational Control) ครอบคลุมกิจกรรมของสำนักงานใหญ่ทุกอาคารตลอดรอบระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม 2567 ทั้งนี้ การประเมินดังกล่าวได้รับการทวนสอบโดยหน่วยงานอิสระภายนอกในระดับการรับรองแบบจำกัด (Limited Assurance) และกำหนดระดับความมีสาระสำคัญ (Materiality Threshold) ที่ร้อยละ 5 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อความถูกต้องและความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่เปิดเผยต่อผู้มีส่วนได้เสีย
ผลการประเมินพบว่า บริษัทมีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากขอบเขตการดำเนินงานประเภทที่ 1 (Scope 1) จำนวน 760 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ระบบปั๊มน้ำดับเพลิง การใช้ยานพาหนะขององค์กร รวมถึงการรั่วไหลของสารทำความเย็นและสารดับเพลิง ขณะที่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากขอบเขตประเภทที่ 2 (Scope 2) ซึ่งเกิดจากการใช้พลังงานไฟฟ้า มีปริมาณ 1,402 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ส่งผลให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยรวมขององค์กรในปีรายงาน (Scope 1 และ 2) อยู่ที่ 2,162 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
โครงสร้างการปล่อยก๊าซเรือนกระจกดังกล่าวสะท้อนลักษณะของธุรกิจประกันภัย ซึ่งไม่มีการปล่อยจากกระบวนการผลิต แต่มีการพึ่งพาการใช้พลังงานไฟฟ้าในการดำเนินงานสำนักงานเป็นหลัก บริษัทจึงให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การบริหารจัดการอาคารอย่างมีประสิทธิภาพ และการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยลดการใช้ทรัพยากร เพื่อควบคุมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระยะยาว
สำหรับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตประเภทที่ 3 (Scope 3) บริษัทอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมด้านระบบข้อมูลและกระบวนการบริหารจัดการ โดยในปี 2567 ยังไม่ได้รายงานการปล่อยในขอบเขตดังกล่าว ทั้งนี้ บริษัทตระหนักดีว่า Scope 3 โดยเฉพาะการปล่อยที่เกี่ยวข้องกับการรับประกันภัยและการลงทุน มีนัยสำคัญต่อธุรกิจในระยะยาว บริษัทจึงมีแผนพัฒนาแนวทางการประเมินและบริหารจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่คุณค่า เพื่อรองรับการเปิดเผยข้อมูลตามมาตรฐานสากล อาทิ IFRS S2 และข้อกำหนดด้านกฎหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่อาจมีผลบังคับใช้ในอนาคต
การจัดทำ CFO ไม่เพียงเป็นการรายงานผลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการสนับสนุนการกำหนดกลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อม การวางเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการขับเคลื่อนองค์กรสู่การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน บริษัทมุ่งมั่นที่จะใช้ข้อมูล CFO เป็นฐานในการพัฒนาแผนงานด้าน Climate Change อย่างเป็นระบบ สร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางธุรกิจ ความรับผิดชอบต่อสังคม และการดูแลสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม
การทวนสอบโดยบุคคลที่สาม (Third-Party Verification)
ผู้ทวนสอบ: Bureau Veritas Certification (Thailand)
ผลการทวนสอบ:
ไม่พบ Material Misstatement (>5%)
NC 2 ประเด็น และ MS 1 ประเด็น → แก้ไขและปิดครบถ้วน
ยืนยันความถูกต้องของตัวเลข CFO ตามเกณฑ์ อบก.
การบริหารความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ความเสี่ยงทางกายภาพ และความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่าน (Physical and Transition Risks)
ความเสี่ยงทางกายภาพ Physical Risk คือ ความเสี่ยงทางกายภาพจากเหตุการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริง เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว ซึ่งอาจเพิ่มจำนวนการเคลมในพื้นที่เสี่ยงสูง บริษัทจึงปรับกลยุทธ์โดย
การปรับการพิจารณารับประกันภัยให้เหมาะสมกับความเสี่ยง เช่น index-based insurance (ประกันพืชผลการเกษตร) หรือการกำหนดพื้นที่เสี่ยงภัย เป็นต้น
การสร้างแบบจำลองความเสี่ยง (catastrophe model) ครอบคลุมข้อมูล climate change (stress test) และนำผลลัพธ์ที่ได้ใช้ประกอบการทำประกันภัยต่อ (Reinsurance)
การขยายบริการเชิงรุกให้กับลูกค้า (climate advisory) เพื่อลดความรุนแรงของเหตุการณ์ เช่น บริการลานจอดรถเพื่อรองรับกรณีน้ำท่วม และการแจ้งเตือนพื้นที่น้ำท่วม
ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่าน Transition Risk คือ ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงนโยบาย ภาษี และกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับคาร์บอน เช่น ภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูล ESG ซึ่งอาจทำให้ธุรกิจบางกลุ่มมีต้นทุน หรือค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นหรือมีสินทรัพย์เสี่ยงที่อาจสูญเสียมูลค่า จึงพยายามดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้นมากที่สุด เช่น มาตรการลดใช้พลังงานและทรัพยากร จนถึง การปลูกป่าเพื่อชดเชยคาร์บอน
การวิเคราะห์ฉากทัศน์ Scenario Analysis
นำสถานการณ์ตามระดับการเพิ่มขึ้นและความแปรปรวนของภัยพิบัติทางธรรมชาติ (รวมทั้งอุณหภูิโลกที่เพิ่มขึ้น เช่น 1.5°C และ 2°C) มาวิเคราะห์
วิเคราะห์จากข้อมูลสถิติที่เกิดภัยพิบัติและความเสียหายที่เกิดขึ้นในอดีต เช่น ปริมาณน้ำฝน และความเสียหายจากเหตุการณ์น้ำท่วมที่เคยเกิดขึ้น
การคาดการณ์ในอนาคตในการปรับแก้และบังคับใช้กฎหมายเรื่องก๊าซเรือนกระจกที่ภาครัฐได้ชี้แจงมาใช้เป็นเครื่องมือในการประเมินผลกระทบต่อพอร์ตการประกันภัยและการลงทุนในระยะยาวเพื่อประเมิน
ผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ
ผลกระทบต่ออัตราการเคลม และการตั้งสำรองประกันภัย
ผลกระทบต่อมูลค่าของสินทรัพย์ที่ลงทุน
** โดยใช้ข้อมูลจากแหล่งมาตรฐาน เช่น IPCC และ IEA ประกอบกับแบบจำลองทางเศรษฐกิจและภูมิอากาศ
แนวทางในการจัดการผลกระทบ
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีผลต่อทุกขั้นตอนในห่วงโซ่คุณค่าของบริษัทประกันภัย ตั้งแต่
การประเมินความเสี่ยงของลูกค้า (Underwriting)
การบริหารความเสี่ยงร่วมกับพันธมิตร (Reinsurer, Broker, คู่ค้า)
การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ลูกค้าในกลุ่มที่ใส่ใจความยั่งยืน
การกำหนดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่ใส่ใจเรื่อง ESG
บริษัทต้องร่วมมือกับพันธมิตรในห่วงโซ่อุปทานเพื่อปรับตัวในทิศทางเดียวกัน เช่น ส่งเสริมการใช้ข้อมูลภูมิอากาศร่วมกัน และประเมิน ESG ของคู่ค้า
โอกาสทางธุรกิจจาก Climate Risks
ความถี่และความรุนแรงของภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม และสภาพอากาศแปรปรวนที่ขึ้นจากภาวะโลกร้อน
ส่งผลโดยตรงต่อการประเมินเบี้ยประกันภัยและสินไหมทดแทน (claims) ของบริษัท
หากไม่มีการปรับตัวอาจส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไรและความมั่นคงทางการเงิน
โอกาสที่สำคัญ คือ ประชาชนมีความตระหนักถึงภัยธรรมชาติต่าง ๆ ดังนั้น บริษัทจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งแก่ประชาชนในการบริหารความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นต่อทรัพย์สิน
ในอีกด้านหนึ่ง การเติบโตของตลาดประกันภัยสีเขียว (Green Insurance) และความต้องการผลิตภัณฑ์ที่รองรับการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ เช่น
ประกันภัยพลังงานสะอาด
ประกันรถยนต์ไฟฟ้า
ประกันภัยทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงจาก climate change
ศึกษาแนวทางการประกันคาร์บอนเครดิต
จึงเป็นโอกาสให้บริษัทได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า
ซึ่งส่งผลต่อการเติบโตและความยั่งยืนทางธุรกิจของบริษัท
มาตรการเพื่อลดผลกระทบจาก Climate Change
solar cell
เพิ่มการติดตั้งโซล่าเซลล์
การเปลี่ยนมาใช้หลอด LED
การเปลี่ยนเครื่องทำความเย็น (chiller)
Transport
ติดตั้งจุดชาร์ตรถยนต์ไฟฟ้า EV
วางแผนปรับเปลี่ยนการใช้รถยนต์ส่วนกลางและรถยนต์ของผู้บริหารเป็นรถยนต์พลังงานทางเลือก
สนับสนุนการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าแก่พนักงานสำรวจภัย
Resource
วางแผนการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ อย่างคุ้มค่ามากขึ้น เช่น มาตรการประหยัดน้ำ ไฟฟ้า น้ำมัน กระดาษ
รวมทั้งการจัดการขยะและของเสีย
การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ (Resource Efficiency)
ความสำคัญต่อองค์กร
การบริหารจัดการพลังงาน น้ำ และของเสีย เป็นส่วนสำคัญของการลดต้นทุน ลดความเสี่ยงจากการบริโภคทรัพยากรเกินจำเป็น และสนับสนุนการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ของบริษัท การส่งเสริมพฤติกรรมพนักงานจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญในการขับเคลื่อนมาตรการในการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
การจัดการพลังงาน (Energy Management)
ในปี 2568 บริษัทดำเนินมาตรการด้านการจัดการพลังงานอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งลดการใช้ไฟฟ้าภายในสำนักงานและสร้างพฤติกรรมการใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่าในหมู่พนักงาน บริษัทได้ดำเนินการสื่อสารผ่านแคมเปญรณรงค์ภายใน เช่น “ปิดสวิตช์”, “ปิดไฟช่วงพักกลางวัน และเมื่อไม่ใช้งาน”, และ “ถอดปลั๊กก่อนกลับบ้าน” เพื่อปลูกฝังวินัยด้านการประหยัดพลังงานในชีวิตประจำวันของพนักงานทุกระดับ
นอกจากนี้ ยังมีการจัด แคมเปญประหยัดไฟในช่วงเทศกาล เช่น สงกรานต์และปีใหม่ ซึ่งเป็นช่วงที่พนักงานส่วนใหญ่ลางาน ทำให้เกิดช่องว่างในการควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้า บริษัทจึงจัดทีมตรวจสอบก่อนปิดอาคารและประชาสัมพันธ์ให้ทุกหน่วยงานปิดอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็น เพื่อป้องกันการใช้พลังงานโดยเปล่าประโยชน์
บริษัทได้กำหนด มาตรฐานการตั้งอุณหภูมิแอร์ที่เหมาะสมระหว่าง 25–27°C ตามหลักเกณฑ์ของภาครัฐ พร้อมติดป้ายเตือนประจำจุด เพื่อให้เกิดความสอดคล้องและลดภาระการทำงานของระบบทำความเย็น นอกจากนี้ยังส่งเสริมการใช้ แสงธรรมชาติร่วมกับไฟประดิษฐ์ โดยปรับแต่งพื้นที่ทำงานให้รับแสงจากภายนอกมากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาไฟฟ้าในช่วงกลางวัน
มาตรการเหล่านี้ช่วยให้บริษัทสามารถลดการใช้พลังงานไฟฟ้าและลดต้นทุนการดำเนินงาน โดยยังคงรักษาคุณภาพสภาพแวดล้อมในสำนักงานให้เหมาะสมต่อการทำงาน
การจัดการน้ำ (Water Management)
บริษัทให้ความสำคัญกับการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดความสูญเสียและสนับสนุนการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน จึงได้ดำเนินการ สำรวจและซ่อมแซมจุดรั่วไหลในระบบประปาอย่างสม่ำเสมอ โดยจัดทำแผนตรวจตราอาคารประจำเดือน และประสานงานกับทีมซ่อมบำรุงเพื่อแก้ไขปัญหาให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด
ในด้านการสร้างความรู้แก่บุคลากร บริษัทได้จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์เพื่อ ให้ความรู้พนักงานเกี่ยวกับการใช้น้ำอย่างคุ้มค่า เช่น การปิดก๊อกทุกครั้งหลังใช้งาน การหลีกเลี่ยงการเปิดน้ำทิ้งโดยไม่จำเป็น พร้อมทั้งติดตั้งป้ายเตือนในพื้นที่ใช้น้ำ เพื่อกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมการใช้น้ำอย่างรับผิดชอบในชีวิตประจำวัน
บริษัทยังดำเนิน แคมเปญรณรงค์ลดการใช้น้ำในห้องน้ำ โดยสื่อสารให้พนักงานใช้ชักโครกอย่างเหมาะสม เช่น “กดชักโครก 1 ครั้งต่อการใช้งาน 1 ครั้ง” เพื่อลดปริมาณการใช้น้ำอย่างไม่จำเป็น ซึ่งเป็นมาตรการที่ช่วยลดปริมาณน้ำใช้ในอาคารสำนักงานอย่างมีประสิทธิผล
เคารพและการปฏิบัติตามกฎหมาย
นอกเหนือจากการใช้น้ำอย่างคุ้มค่าแล้ว บริษัทให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการจัดการน้ำทิ้งและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยดำเนินการควบคุมคุณภาพน้ำทิ้งตามหลักวิศวกรรมและข้อกำหนดทางกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อให้มั่นใจว่าน้ำที่ปล่อยออกจากอาคารสำนักงานจะไม่ส่งผลกระทบต่อชุมชนหรือระบบนิเวศโดยรอบ
บริษัทได้บริหารจัดการน้ำทิ้งผ่าน ระบบบำบัดน้ำเสียที่ได้รับการดูแลและบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการตรวจสอบประสิทธิภาพของระบบเป็นประจำ รวมถึงการล้างทำความสะอาดถังบำบัด การควบคุมอัตราการไหลของน้ำเข้า-ออก และการจัดการสารเคมีที่ใช้ในกระบวนการบำบัด เพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างมีเสถียรภาพและลดความเสี่ยงต่อการปนเปื้อน โดยเฉพาะในช่วงที่มีการใช้น้ำปริมาณมากจากกิจกรรมภายในอาคาร
สำหรับการกำกับคุณภาพน้ำ บริษัทดำเนินการ ตรวจวัดคุณภาพน้ำทิ้งอย่างสม่ำเสมอ โดยส่งตัวอย่างน้ำไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากล ตรวจค่าต่าง ๆ ได้แก่ pH, BOD, COD, SS และค่ามาตรฐานอื่น ๆ ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผลการตรวจสอบทั้งหมดถูกจัดทำรายงานและนำเสนอให้ฝ่ายสิ่งแวดล้อมรวมถึงคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบบำบัดน้ำเสียอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เกิดการปล่อยน้ำเสียที่ไม่ผ่านมาตรฐาน
ด้านการปฏิบัติตามกฎหมาย บริษัทให้ความสำคัญต่อข้อกำหนดทุกประการของกฎหมายที่เกี่ยวกับน้ำเสียและคุณภาพสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็น พระราชบัญญัติการสาธารณสุข, พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ, รวมถึงข้อบัญญัติท้องถิ่นด้านควบคุมน้ำเสีย บริษัทจัดเก็บเอกสาร ผลตรวจ และหลักฐานประกอบทั้งหมดอย่างเป็นระบบ เพื่อรองรับการตรวจสอบจากหน่วยงานภาครัฐ พร้อมจัดทำระบบบันทึกข้อมูลที่สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้อย่างโปร่งใส
การจัดการขยะและของเสีย Waste Management
บริษัทให้ความสำคัญต่อการลดปริมาณขยะและของเสียจากการดำเนินงานเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว โดยมีการดำเนินงานครอบคลุมทั้งการลดการใช้ การใช้ซ้ำ และการรีไซเคิลอย่างเป็นระบบ
เป้าหมายการดำเนินงาน
เพิ่มสัดส่วนปริมาณขยะรีไซเคิล
- ลดปริมาณการใช้กระดาษ
การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการขยะและของเสียอย่างยั่งยืน
บริษัทเริ่มต้นจากการจัดเก็บข้อมูลปริมาณขยะและของเสียที่เกิดขึ้นภายในสำนักงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์แนวโน้ม กำหนดมาตรการลดขยะ และเพิ่มสัดส่วนขยะรีไซเคิลให้สูงขึ้น
บริษัทได้จัดตั้งจุดคัดแยกขยะรีไซเคิลในสำนักงานใหญ่และสาขาครอบคลุมประเภทขยะสำคัญ เช่น
ขยะทั่วไป
ขยะรีไซเคิล
ขยะอินทีย์ หรือขยะเศษอาหาร
ขยะอิเล็กทรอนิค
การจัดการขยะอย่างเป็นระบบนี้ช่วยเพิ่มอัตราการนำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ ลดปริมาณขยะที่ต้องนำไปกำจัด และสนับสนุนเป้าหมายองค์กรในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ดำเนินการคัดแยก และส่งข้อมูลขยะให้กับโครงการ “เมืองไทย ไร้ขยะ” เพื่อสร้างฐานข้อมูลกลางด้านการจัดการขยะขององค์กร และออกมาตรการส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
นอกจากนี้ บริษัทยังริเริ่มกิจกรรมสร้างคุณค่าเพิ่มจากของใช้แล้ว เช่น กิจกรรมบริจาคฉลากกินแบ่งที่ไม่ถูกรางวัล เพื่อทำดอกไม้จันทร์ โครงการบริจาคขยะอิเล็กทรอนิค เพื่อนำไปแปลรูปและกำจัดอย่างถูกวิธี ซึ่งเป็นการส่งเสริมแนวคิดการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด
และเพิ่มจุดตั้งถังขยะแบบแยกประเภทในสำนักงานและสาขาใหญ่จำนวน 4 จุด ได้แก่
หน้าศูนย์บริการลูกค้า สำนักงานใหญ่
กลุ่มพัฒนาธุรกิจ
ชั้น 2–4 อาคารสำนักงานใหญ่
บริเวร ชั้น 1 อาคาร 4
การลดการใช้กระดาษ และการใช้ซ้ำ (Paper Reduction & Reuse)
เพื่อสนับสนุนการลดปริมาณขยะและลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ บริษัทได้ดำเนินโครงการ REUSE กระดาษ A4 หน้า 2 ซึ่งเปิดให้พนักงานนำกระดาษที่ยังสามารถใช้งานได้มาใช้ซ้ำในงานเอกสารภายในองค์กร ช่วยลดปริมาณการสั่งซื้อกระดาษใหม่ และลดขยะกระดาษที่ต้องจัดการลงอย่างมีนัยสำคัญ
มาตรการลดการใช้กระดาษเช็ดมือในห้องน้ำ
จัดทำสื่อรณรงค์ “#ลดการตัดต้นไม้” เพื่อให้พนักงานตระหนักถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม พร้อมทดลองใช้เครื่องเป่ามือในบางพื้นที่เพื่อลดการใช้วัสดุสิ้นเปลือง
มาตรการส่งเสริมการใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ (Paperless Operations)
บริษัทขับเคลื่อนนโยบาย Paperless อย่างจริงจัง โดยขยายการใช้งานระบบงานอิเล็กทรอนิกส์ เช่น
E-Policy (กรมธรรม์อิเล็กทรอนิกส์)
E-Document (งานเอกสารภายใน)
E-Receipt (ใบเสร็จอิเล็กทรอนิกส์)
การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลนี้ช่วยลดความต้องการใช้กระดาษในกระบวนการทำงานลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ความสะดวก และความรวดเร็วในการให้บริการลูกค้า ลดการปล่อยคาร์บอนจากการขนส่งเอกสาร
ผลิตภัณฑ์ประกันภัยด้านสิ่งแวดล้อม และการลงทุนอย่างรับผิดชอบ
(Green Insurance & Responsible Investment)
ความสำคัญต่อองค์กร
บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ให้ความสำคัญกับการพัฒนาและยกระดับ ผลิตภัณฑ์และบริการประกันภัยที่สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยตระหนักถึงบทบาทของธุรกิจประกันภัยในการบริหารความเสี่ยง ลดความเปราะบางของภาคเศรษฐกิจและสังคมจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสนับสนุนการปรับตัวของลูกค้าในระยะยาว บริษัทมุ่งเน้นการออกแบบความคุ้มครองที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ พลังงานหมุนเวียน รถยนต์ไฟฟ้า การป้องกันและฟื้นฟูความเสียหายหลังเกิดภัยพิบัติ รวมถึงการบริหารความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศอย่างรอบด้าน เพื่อให้การประกันภัยเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวของประเทศ
ควบคู่กันนี้ บริษัทดำเนินการบริหารเงินลงทุนภายใต้หลัก การลงทุนอย่างรับผิดชอบ (Responsible Investment) โดยผนวกประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เข้ากับกระบวนการตัดสินใจลงทุนอย่างเป็นระบบ เพื่อหลีกเลี่ยงหรือจำกัดความเสี่ยงจากการลงทุนในธุรกิจหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญ และในขณะเดียวกัน สนับสนุนการลงทุนในกิจการที่มีแนวปฏิบัติด้าน ESG ที่เหมาะสม มีการบริหารจัดการความเสี่ยงที่ดี และสามารถสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนในระยะยาว
ในด้าน ขอบเขตการดำเนินงาน บริษัทครอบคลุมการบริหารจัดการทั้งในฝั่งธุรกิจประกันภัยและฝั่งการลงทุนอย่างครบวงจร สำหรับฝั่งประกันภัย บริษัทให้ความสำคัญกับการออกแบบผลิตภัณฑ์ประกันภัย เงื่อนไขความคุ้มครอง โครงสร้างราคา และกระบวนการรับประกันภัย (Underwriting) ให้สอดคล้องกับลักษณะความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ โดยมุ่งสนับสนุนกิจกรรมสีเขียว ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้าปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปสู่แนวทางที่ยั่งยืนมากขึ้น
สำหรับฝั่งการลงทุน บริษัทดำเนินการตามหลัก Responsible Investment ตั้งแต่กระบวนการคัดกรองก่อนการลงทุน การติดตามและประเมินผลหลังการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการสื่อสารและมีส่วนร่วมกับผู้ออกหลักทรัพย์หรือผู้จัดการกองทุน (Engagement) ในประเด็นด้าน ESG ที่มีนัยสำคัญ เพื่อยกระดับคุณภาพของพอร์ตการลงทุน ลดความเสี่ยงระยะยาว และสนับสนุนการเติบโตของระบบเศรษฐกิจและตลาดทุนอย่างยั่งยืน
เป้าหมาย
เพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ประกันภัยสนับที่สนุนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น ประกันภัยรถยนต์ EV ประกันภัย solar cell
ส่งเสริมการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีเกณฑ์ ESG และลดสัดส่วนการลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม
การดำเนินงาน
บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ดำเนินการขับเคลื่อนประเด็น ผลิตภัณฑ์ประกันภัยด้านสิ่งแวดล้อมและการลงทุนอย่างรับผิดชอบ (Green Insurance & Responsible Investment) อย่างเป็นระบบตลอดทั้งปี โดยมุ่งเน้นให้การดำเนินงานสามารถสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไป และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์กรในระยะยาว
ในขั้นตอนแรก บริษัทให้ความสำคัญกับการ สำรวจและวิเคราะห์ความต้องการของตลาดและลูกค้า โดยอาศัยข้อมูลแนวโน้มความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความถี่และความรุนแรงของภัยพิบัติ รวมถึงโอกาสจากการเติบโตของเศรษฐกิจสีเขียว ข้อมูลดังกล่าวถูกนำมาประกอบการพิจารณาเชิงกลยุทธ์ เพื่อทำความเข้าใจลักษณะความเสี่ยงที่ลูกค้าเผชิญจริงในแต่ละกลุ่มธุรกิจและแต่ละพื้นที่ ตลอดจนระบุช่องว่างของการคุ้มครอง (Protection Gap) ซึ่งเป็นฐานสำคัญในการออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการประกันภัยที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างเหมาะสมและทันต่อสถานการณ์
จากนั้น บริษัทดำเนินการ พัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ประกันภัยและความคุ้มครอง ให้มีความสอดคล้องทั้งในมิติของการบริหารความเสี่ยง ความคุ้มครองที่เพียงพอ และความสามารถในการรับประกันภัยของบริษัท โดยบูรณาการมุมมองด้านสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศเข้าไว้ในกระบวนการออกแบบผลิตภัณฑ์อย่างเป็นระบบ พร้อมกำหนดเงื่อนไขการรับประกันภัยที่เหมาะสมกับลักษณะความเสี่ยง เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการคุ้มครองลูกค้า ความมั่นคงทางการเงินของบริษัท และการสนับสนุนกิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ในด้านการขยายผลสู่ตลาด บริษัทให้ความสำคัญกับการ สื่อสารและสร้างการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ประกันภัยด้านสิ่งแวดล้อม ผ่านช่องทางการขายและเครือข่ายพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงแต่การนำเสนอผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการให้ความรู้และสร้างความเข้าใจแก่ลูกค้าเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยง การป้องกันความเสียหาย และการปรับตัวต่อความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ เพื่อเสริมสร้างการตัดสินใจอย่างรอบคอบและเพิ่มคุณค่าของการประกันภัยในฐานะเครื่องมือบริหารความเสี่ยงระยะยาว
ควบคู่กันนี้ บริษัทดำเนินการ ลงทุนอย่างรับผิดชอบ (Responsible Investment) โดยผนวกหลักการ ESG เข้ากับกระบวนการคัดเลือกและบริหารเงินลงทุน มีการกำหนดเกณฑ์การพิจารณาและการคัดกรองการลงทุนอย่างเหมาะสม พร้อมทั้งทบทวนและติดตามความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลในพอร์ตการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ผลการติดตามดังกล่าวถูกรายงานต่อฝ่ายกำกับดูแลและผู้บริหาร เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจและปรับทิศทางการลงทุนให้สอดคล้องกับนโยบายความยั่งยืนของบริษัท
สุดท้าย บริษัทให้ความสำคัญกับการ ติดตาม ประเมินผล และปรับปรุงการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ผ่านการกำหนดและวัดผลตามตัวชี้วัด (KPIs) การทบทวนประสิทธิผลของผลิตภัณฑ์และแนวทางการลงทุน รวมถึงการประเมินความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น ความถี่ของภัยพิบัติที่เพิ่มขึ้น ความเสี่ยงกายภาพ และความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ข้อมูลจากการติดตามผลถูกนำมาใช้ในการปรับปรุงกลยุทธ์และแนวทางการดำเนินงานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้บริษัทสามารถตอบสนองต่อความท้าทายด้านความยั่งยืนได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างคุณค่าในระยะยาวแก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม
นโยบายและมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม
แนวปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมของบริษัทฯ
1. การกำหนดนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมในกระบวนการปฏิบัติงาน
1) มีการกำหนดเรื่องการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
2) มีการกำหนดให้มีการทำกิจกรรมด้านการอนุรักษ์ และฟื้นฟู ทรัพยากรธรรมชาติ
3) มีการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อเป้าหมายในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานโดยให้ความสำคัญกับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
4) มีการกำหนดเรื่องการปฏิบัติตามกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม
2. การส่งเสริมเพื่อสร้างความรู้ ความตระหนักและการปฏิบัติเรื่องสิ่งแวดล้อมทั่วทั้งองค์กร
1) มีการมอบหมายให้หน่วยงาน บุคคล คณะทำงานรับผิดชอบงานด้านสิ่งแวดล้อม
2) มีการสื่อสารนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของบริษัทฯ แก่บุคลากร คู่ค้าและลูกค้าของบริษัทฯ สม่ำเสมอ
3) จัดให้มีโครงการ แผนงาน กิจกรรม ที่ส่งเสริมให้พนักงานตระหนักและมีส่วนร่วมในการปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง
3. การติดตามการปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อม
1) มีการกำหนดเป้าหมายเชิงปริมาณและการวัดผลในการลดการใช้ทรัพยากร เช่น พลังงาน (ไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศ) น้ำ กระดาษ และวัสดุสิ้นเปลือง
2) มีการกำหนดเป้าหมายเชิงปริมาณและการวัดผลในการใช้ทรัพยากรหมุนเวียนด้วยการลดการใช้ การใช้ซ้ำ และการนำกลับมาใช้ใหม่ (Reduce, Reuse และ Recycle)
3) มีการรายงานผลการดำเนินงานของโครงการ และกิจกรรมต่าง ๆ ที่พนักงานได้มีส่วนร่วมในการปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมอย่างสม่ำเสมอ
4. การมีส่วนช่วยสนับสนุนด้านสิ่งแวดล้อมในฐานะบริษัทประกันภัย
1) มีการออกผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ส่งเสริมและสนับสนุนในด้านสิ่งแวดล้อม
2) มีการพิจารณาคัดเลือกคู่ค้าทางธุรกิจในการจัดหาสินค้าและบริการของบริษัท ที่ให้ความสำคัญต่อปัจจัยการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน